น้องๆที่มาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย หลายๆคนก็คงอยากจะหางานพิเศษทำเพิ่มเพื่อเป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆ (แต่บางคนก็หาเงินพิเศษได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียวค่ะ) ซึ่งรูปแบบของเรซูเม่ที่นี่กับที่ประเทศไทยก็จะมีความแตกต่างกันพอสมควร โดยทั่วไปหากสมัครงานบริการ เช่น พนักงานร้านอาหาร งานทำความสะอาด งานพนักงานต้อนรับ เรซูเม่ควรมีความยาว 1-2 แผ่นค่ะ แต่ถ้าสมัครงานออฟฟิศหรืองาน Professional ก็แล้วแต่ประสบการณ์ทำงานของเราค่ะ โดยทั่วไปจะประมาณ 2-5 แผ่น (ซึ่งถ้าเป็นประเทศไทยเรซูเม่พนักงานออฟฟิศมากสุดก็แค่ 2 แผ่นเท่านั้นเอง) โดยรายละเอียดของเรซูเม่จะแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้ค่ะ

  1. Headline

ส่วนนี้คือชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ (บอกแค่ Suburb ที่เราอยู่ก็พอค่ะ) อีเมล์ และ Linkedin ของเราค่ะ ที่ออสเตรเลียคนส่วนมากใช้ Linkedin ในการสมัครงานเยอะมากค่ะ ใครที่ยังไม่เคยสมัครก็ควรที่จะไปสมัครเอาไว้นะคะ เผื่อว่านายจ้างจะกดเข้าไปดูโปร์ไฟล์ของเราใน Linkedin ค่ะ ส่วนสูง น้ำหนัก อายุ รูปถ่ายไม่ต้องใส่เลยค่ะ

2. Career Overview

ส่วนนี้คือสรุปใจความสั้นๆ ว่าเราเคยทำอะไรมาบ้าง ควรมีความยาวประมาณ 5 บรรทัด ส่วนนี้นายจ้างจะกวาดตาอ่านเร็วๆ เลยค่ะว่าเราเคยทำอะไรมาและเกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอย่างไร ส่วนนี้คือใจความสำคัญจริงๆ นะคะ เอางานที่เราเคยทำที่เกี่ยวข้องกับงานที่เราสมัครค่ะ ไม่ต้องใส่ประสบการณ์ทุกอย่างที่เคยทำลงไป

3. Core Competencies/ Skills

คือทักษะที่เรามีและเกี่ยวข้องกับงานที่สมัครค่ะ ตรงนี้อาจจะใส่เป็น bullet ลงมาก็ได้ค่ะ เช่น Customer Service, Excellent in communication skills, time management skill เป็นต้น ตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกทักษะที่เรามีนะคะ เอาแค่ที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครพอ เช่น ถ้าน้องสมัครเป็นพนักงานทำความสะอาด ก็ไม่ควรใส่ Intermedia in Microsoft Office นะคะ

4. Work History

คืองานที่เราเคยทำมาค่ะ หัวข้อตรงนี้ก็ใส่ Responsibilities (หน้าที่) และสิ่งสำคัญคือหลังจากหน้าที่ก็ควรใส่ Achievements (ความสำเร็จในหน้าที่) เช่น น้องๆ อาจจะใส่ตรงหน้าที่ว่าเคยทำงานเสริฟ์ที่คาเฟ่ มีหน้าที่ทำกาแฟ ต้อนรับลูกค้า เช็คสต็อก ทำความสะอาดคาเฟ่ และความสำเร็จคือได้รับการชมเชยให้เป็นพนักงานดีเด่นประจำเดือนก็ได้ค่ะ ตรงนี้นายจ้างจะได้เห็นว่าเราเคยทำประโยชน์อะไรให้กับที่ทำงานเก่าบ้าง

5. Education

ใส่แค่การศึกษาขั้นสูงสุดก็พอค่ะ ไม่จำเป็นต้องไล่มาตั้งแต่สมัยประถม นอกจากเขียนว่าจบคณะอะไร และมหาวิทยาลัยอะไรแล้ว หากเคยได้รับเกียรตินิยมก็ใส่ไปด้วยก็ได้ค่ะ

6. References

คือบุคคลที่นายจ้างสามารถโทรไปสอบถามเรื่องประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาของเราได้ค่ะ เพราะฉะนั้นก็ควรจะเป็นนายจ้างเก่า หรือเมเนเจอร์ที่เคยทำงานร่วมกัน เพื่อนสนิท ญาติ ครอบครัวนี่ไม่ควรใส่เลยค่ะ บุคคลอ้างอิงควรมี 2-3 คนค่ะ

นอกจากเรซุเม่แล้วก็ควรจะมี Cover Letter แนบไปด้วย ใจความสำคัญของ Cover Letter คือเขียนว่าเรามีทักษะอะไรที่จะไปช่วยพัฒนาหรือทำให้องค์กรของเขาดีขึ้นได้บ้าง โดยเคล็ดลับก็คือให้ดูใน Job descriptions ว่านายจ้างต้องการคนแบบไหน และเราก็เขียนใน Cover Letter ของเราให้สอดคล้องกับทักษะ/คนแบบที่นายจ้างต้องการค่ะ ความยาวของ Cover Letter ควรมี 1 หน้ากระดาษพอค่ะ

สิ่งสำคัญก็คือการทำให้เรซูเม่และ Cover Letter ของเราสอดคล้องกับคนแบบที่นายจ้างต้องการ เพราะฉะนั้นเรซูเม่และ Cover Letter ของน้องๆ ก็ควรจะแตกต่างกันไปตามประเภทงานที่สมัครนะคะ อย่าหว่านเรซุเม่และ Cover Letter ใบเดียวสมัครงานทุกประเภทค่ะ

เป็นยังไงบ้างล่ะคะ…หากจะบอกว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย พี่ยาดาเชื่อว่าถ้าน้องๆ มีความพยายามแล้วล่ะก็ เรื่องแค่นี้ไม่ยากเกินความสามารถของน้องๆ แน่นอนค่ะ

ไม่อยากพลาดสาระดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด like และติดตาม

เพจ Eden Student Service นะคะ ขอบคุณค่ะ

Leave a Reply