“ซิดนีย์” กับ “เมลเบิร์น” ต่างกันยังไง? ไปเรียนที่ไหนดีกว่า? Part 2

ใครที่วางแผนมาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย แต่ยังเลือกไม่ถูกว่าจะมาเมืองไหนดี เรารวบรวมความแตกต่างของเมือง “ซิดนีย์” และ “เมลเบิร์น”มาให้ค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ ไปดูกันเล้ยยยยย…

1. สภาพอากาศ

– ซิดนีย์: อากาศอุ่นตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ย

ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส

หน้าหนาว อุณหภูมิไม่ติดลบ 

– เมลเบิร์น: เมืองนี้มี 4 ฤดูในวันเดียวค่ะ แดด ลม

ฝน หนาว อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีจะต่ำกว่าซิดนีย์ 

2. การเดินทาง

– ซิดนีย์: ขนส่งสาธารณะครอบคลุม มีทั้งรถไฟ รถบัส

รถราง (tram) และ เรือเฟอร์รี่ โดยใช้บัตรโดยสารใบเดียว

เรียกว่า Opal Card หมดก็เติมเงินเอาได้เลยค่ะ

– เมลเบิร์น: พระเอกของที่นี่คือรถราง กลางเมือง

มี Free tram zone ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ค่ะ

Myki Card เป็นบัตรโดยสารแบบเติมเงิน ใช้ได้กับขนส่งทุกประเภทจ้า

3. ค่าครองชีพ

ค่าที่พักกับค่าเดินทาง ในซิดนีย์จะสูงกว่าเมลเบิร์น

แต่พอเฉลี่ยกับค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว ค่าครองชีพของ 2 เมืองนี้

ไม่ต่างกันมากค่ะ ถ้าใครอยาก ดูตารางเปรียบเทียบค่าครองชีพ

แบบละเอียดๆ ก็เข้าไปดูได้ที่ลิงก์นี้นะ

https://www.budgetdirect.com.au/interactives/costofliving/compare/melbourne-vs-sydney/

4. วัฒนธรรม / ไลฟ์สไตล์

– ซิดนีย์: มีสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนทุกกลุ่ม

ทุกวัย แต่ถ้าใครชอบทะเลกับกิจกรรม outdoor จะรัก

เมืองนี้มาก เพราะทะเลเยอะ คนชอบไปอาบแดด

ปิกนิก เดิน/วิ่ง เลียบมหาสมุทรกัน

– เมลเบิร์น: ใครชอบตึกเก่าๆ ได้ฟีลประวัติศาสตร์ๆ

ต้องเมลเบิร์นเลย กับคนที่นี่ชอบเสพงานศิลปะ งานดนตรี

ชอบไปมิวเซี่ยม เข้าบาร์ เข้าคาเฟ่!

อ้างอิงข้อมูลจาก

– https://cpinternational.com/th/education/what-is-the-difference-between-sydney-melbounre-brisbane-and-perth/

– https://www.budgetdirect.com.au/interactives/costofliving/compare/melbourne-vs-sydney/

– https://www.hotcourses.in.th/study-in-australia/destination-guides/study-australia-sydney-melbourne/

– https://cpinternational.com/th/education/what-is-the-difference-between-sydney-melbounre-brisbane-and-perth/

– https://global.vic.gov.au/victorias-capabilities/why-melbourne/worlds-2nd-most-liveable-city

ไม่อยากพลาดสาระดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด like และติดตามเพจ

เรียนต่อออสเตรเลีย by Eden Student Service นะคะ 🙂

5 เหตุผลดีดีที่เราต้อง “Upskill”

หากคุณคือหนึ่งในคนที่ต้องการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอซึ่งต่างก็มีวิธีการมากมาย รวมไปถึงการลงเรียนคอร์สที่คุณสนใจเรียนรู้เพิ่มทักษะที่ขาดให้แข็งแรง โดยเฉพาะหากคุณต้องการจะก้าวหน้าในสายอาชีพ ทักษะภาษาอังกฤษคือกุญแจหลักสู่ประตูนั้นและหากคุณยังคงลังเลที่จะมุ่งมั่นนี่คือ 5 เหตุผลดีดีที่ควรหมั่น Upskill ที่คุณต้องรู้!

1. ก้าวหน้าแบบหยุดไม่อยู่

การ Upskill จะทำให้คุณมีทักษะที่เป็นที่ต้องการตรงในสายงานเพราะแน่นอนว่าคนที่มีความรู้ลึก รู้จริง และมีสกิลที่อัปเกรดมาอย่างแน่นและทันต่อสมัยอยู่เสมอ คุณคือคนที่ไม่หยุดอยู่กับที่แล้วแบบนี้ใครจะห้ามความสำเร็จของคุณได้

2. CV เตะตากว่าใคร

การมีใบประกาศใบรับรองว่าคุณได้ผ่านการเรียนรู้ทักษะที่สายงานต้องใช้หรือ แสดงทักษะที่แปลกใหม่ที่เป็นที่ต้องการบนเรซูเม่หรือ CV ของคุณรับประกันได้ว่าจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวคุณมากกว่าคนที่มีเพียงใบประกาศจากมหาวิทยาลัยที่อาจไม่ตรงสายงาน และนอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าคนๆนั้นจะมีทักษะและความรู้ที่จะทำงานได้

3. สะพานเชื่อมสู่การศึกษาในอนาคต

คอร์สเรียนเพิ่มทักษะต่างๆ หากเป็นคอร์สที่ได้รับการรับรองคุณสมบัติจากสถาบันการศึกษาต่างๆ การเรียนที่ได้จะช่วยเป็นสะพานสู่สถาบันการศึกษาที่คุณต้องการได้

4. คอร์สที่จะสร้างคอนเนคชั่นและโอกาสให้คุณ

การลงเรียนคอร์สต่างๆ เพื่อสร้างทักษะย่อมเจอกับคนที่มีความสนใจแบบเดียวกัน รวมไปถึงเจ้าของธุรกิจและนายจ้างที่มีความสนใจรับคนที่มีทักษะแบบในคอร์สเรียนนี้ด้วย! ซึ่งในสถาบันการสอนมักจะมีนายจ้างและเจ้าของธุรกิจมากมายเปิดโอกาสคอยคุณอยู่

5. เรียนก็ได้ ทำงานก็ดี

การลงเรียนคอร์สส่วนมากจะสามารถเลือกจัดตารางการเรียนที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับตัวคุณเองได้ ทั้งนี้เพื่อให้ตารางงานของคุณไม่ติดขัด สามารถจัดเวลาเพื่อเลี่ยงวันที่ตรงกับตารางงานได้เรียกว่า “เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย” ไม่มีปัญหา

คำศัพท์เฉพาะสำหรับชาวออสซี่

G’Day mate!

สวัสดีน้องๆทุกคนค่ะ หลายคนที่เพิ่งมาถึงออสเตรเลียอาจจะได้ยินคำศัพท์เฉพาะที่ชาวออสซี่ใช้กันแล้วอาจจะงงๆว่ามันหมายความว่าอย่างไร วันนี้พี่ยาดาจะมาแนะนำคำศัพท์เฉพาะที่ชาวออสซี่ชอบใช้กันค่ะ

1. G’Day เป็นคำทักทายเหมือน Hi, Hello นั่นเองค่ะ

2. Mate เป็นคำเรียกแทนตัวคนค่ะ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม

3. Woolies หมายถึงห้างสรรพสินค้า Woothworths คู่แข่งกับห้าง Coles นั่นเองค่ะ

4. Brekky หมายถึง Breakfast อาหารเช้าค่ะ

5. Arvo หมายถึง Afternoon 

6. Tea หมายถึง Dinner ค่ะ ตอนมาถึงออสเตรเลียใหม่ๆ พี่ยาดาเคยเจอเพื่อนบอกว่าจะไปหา afternoon tea ก็นึกว่านางจะมาหาหลังจิบชายามบ่าย แต่ที่ไหนได้มาซะค่ำหลังอาหารเย็นเลยค่ะ

7. Maccas คือ McDonald’s ค่ะ

8. Hungey Jack คือ Burger King ค่ะ (ไม่รู้ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อน้อ)

9. Mozzie คือ mosquito เจ้ายุงตัวร้ายนั่นเองค่ะ

10. Roo มาจาก kangaroo ค่ะ

11. Loo, dunny คือห้องน้ำค่ะ

12. Ta หมายถึง Thank you 

13. Barbie มาจาก barbecue อาหารประจำชาติของชาวออสซี่นั่นเองค่ะ

14. Flat White คือ กาแฟเอสเปรสโซ่ 1 ช็อท ที่เติมนมหรือครีมลงไป คล้ายลาเต้ แต่ Flat White 

จะใส่นมน้อยกว่าลาเต้

15. On ya/Onya มาจากคำว่า Good on you

16. Oz มาจาก Australia หรือประเทศนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า Down under 

(ฝรั่งหลายคนชอบเอาเรื่องนี้มาเล่นมุกทะลึ่งกันค่ะ ฮ่าๆๆ)

17. Servo มากจาก Service station หรือปั๊มน้ำมัน

18. Tassie คือ Tasmania

19. Brissie คือ Brisbane

20. Undies มาจากคำว่า Underwear หรือชุดชั้นใน

21. Uni คือ มหาวิทยาลัย ย่อมาจาก university 

22. Veggies คือ ผัก

23. You right mate หมายถึง Are you OK? 

24. Postie มาจาก Postman หรือบุรุษไปรษณีย์

25. Good onya มาจาก Goof on you

จะได้เห็นว่าชาวออสซี่นั้นชอบใช้คำย่อมากๆ จริงๆ ยังมีคำศัพท์เฉพาะที่ชาวออสซี่คิดขึ้นมาอีก

มากมาย แต่พี่ยาดาอยากจะยกตัวอย่างเฉพาะคำที่เจอบ่อยเรียกได้ว่าเกือบจะทุกวัน 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช้ได้เป็นภาษาพูดเท่านั้นนะคะ อย่าไปใช้คำศัพท์เหล่านี้ในการเรียนหรือการสอบนะคะ 

ให้ใช้ภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานที่เราเรียนมาเท่านั้นค่ะ

พี่ยาดาคิดว่าการมาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย นอกจากจะมาเรียนภาษาแล้วเราก็ควรจะเรียนรู้

วัฒนธรรมของคนชาตินั้นๆไปด้วย ก็จะเป็นการเปิดโลกและเรียนรู้สิ่งใหม่ไปในตัวด้วยค่ะ

📌สอบถามข้อมูลการเรียนต่อออสเตรเลีย 

วีซ่านักเรียน วีซ่าท่องเที่ยว ได้ที่

LINE@ : @Edenstudentservice

📱หรือแอดไลน์คลิก https://line.me/R/ti/p/%40ogn1392m

💻ติดตาม ข้อมูล และ โปรโมชั่นดีดี ได้ ทั้ง 4 สาขา

www.eden-studentservice.com

📖ถามตอบ ปัญหา ชีวิตนักเรียนไทย ในออส ได้ที่่ Askyada

https://www.facebook.com/askyada/

👫ตามติดชีวิต นักเรียนไทย ในออสเตรเลีย ใน Youtube 

http://bit.ly/2KRopp2

การเดินทางในบริสเบน

บริสเบนเป็นเมืองหลวงของรัฐควีนแลนด์และเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของประเทศออสเตรเลีย อยู่ใกล้กับ Gold Coast ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันมีเชื่อเสียง 

บริสเบนเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศคล้ายกับประเทศไทย จึงทำให้ที่นี่อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

สำหรับนักเรียนไทยที่สนใจจะมาเรียนต่อที่ออสเตรเลียและไม่ชอบสภาพอากาศที่หนาวจนเกินไป 

สำหรับการเดินทางในบริสเบนนั้นก็ง่ายและสะดวกสบาย อันที่จริงระบบการคมนาคมในประเทศออสเตรเลียนั้นก็ได้มาตรฐานและรัฐบาลก็พยายามที่จะอำนวยความสะดวกสูงสุดให้กับประชาชน

ผู้อยู่อาศัยอยู่แล้ว สำหรับน้องๆคนไหนที่กำลังลังเลว่าจะมาเรียนต่อที่บริสเบนดีหรือไม่ 

พี่ยาดาคิดว่าเมืองนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยในวันนี้พี่ยาดาจะมาแนะนำ

วิธีการเดินทางในบริสเบนกันค่ะ

สำหรับการเดินทางในบริสเบนนั้นจะใช้บัตร Go card ในการเดินทางทั้งรถไฟ รถบัส และเรือเฟอร์รี่ 

ตั๋ว single ticket ก็มีขายค่ะ แต่ราคาค่าโดยสารต่อเที่ยวก็จะแพงกว่าค่าเดินทางที่ตัดจาก

บัตร Go card 

บัตร Go card นั้นสามารถหาซื้อได้ตามสถานีรถไฟ ร้านค้าสะดวกซื้อ หรือซื้อออนไลน์ก็ได้ค่ะ 

วิธีการในการจ่ายค่าโดยสารก็แค่แตะบัตร Go card ที่เครื่องแตะบัตรทั้งขาไปและขากลับ 

สิ่งสำคัญคือห้ามลืมแตะบัตรเป็นอันขาดนะคะ ไม่อย่างนั้นจะโดนปรับได้ค่ะ

หากเงินในบัตรเหลือน้อยและต้องการจะเติมเงินก็สามารถเติมได้ผ่านทางออนไลน์ 

หรือเติมที่สถานีรถไฟ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรลงทะเบียนในบัตรเมื่อซื้อบัตรมาแล้ว 

หากเกิดกรณีที่บัตรสูญหายแล้วเราลงทะเบียนไว้ก็จะสามารถล็อคเงินในบัตรได้ทันท่วงที

และสามารถโอนเงินที่เหลือจากบัตรที่หายไปบัตรใหม่ได้ และยังสามารถเช็คประวัติ

การเดินทางจากบัตรที่ลงทะเบียนได้ด้วยค่ะ 

การคำนวณค่าโดยสารในบริสเบนจะคำนวณเป็นโซน โดยแต่ละเขตของเมืองก็จะถูกแบ่งเป็น

โซนที่แตกต่างกันออกไป หากน้องๆเดินทางจากโซน 1 ไปโซน 3 ก็ถือว่าเดินทางไปทั้งหมด 

3 โซนค่ะ อีกทั้งหากเดินทางในช่วง Off peak ราคาค่าโดยสารก็จะถูกลงด้วยค่ะ และภายใน

หนึ่งสัปดาห์หากเดินทางครบ 8 ครั้ง ครั้งต่อไปค่าโดยสารจะถูกลงครึ่งหนึ่งค่ะ 

จะว่าไปแล้วการเดินทางในบริสเบนนั้นก็คล้ายๆ กับซิดนีย์เลยค่ะ ใครที่อยากเช็ค

เวลาเดินทางอย่างละเอียดหรืออยากจะรู้ว่าหากอยากจะเดินทางจากสถานที่หนึ่ง

ไปอีกสถานที่หนึ่งควรโดยสารด้วยรถไฟ รถเมล์ หรือเรือเฟอร์รี่ ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่

เว็บไซต์ translink.com.au กันได้เลยค่ะ

นอกจากนี้เนื่องจากบริสเบนเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่และการจราจรไม่คับคั่งมาก การขี่จักรยาน

ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับน้องๆที่รักการออกกำลังกายและอยากจะชมวิวเมืองไปในตัว 

โดยน้องๆ สามารถหาซื้อจักยานมือสองสภาพดีได้ที่เว็บไซต์ Gumtree.com.au 

ซึ่งจะมีคนมาโพสขายจักรยานกันด้วยค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในบริสเบนก็จะมี South Bank Parklands หรือทะเลเทียมที่มีชื่อเสียง 

หากมาในหน้าร้อนก็จะได้เห็นผู้คนมานอนอาบแดดพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย หรือจะเป็น 

The Wheel of Brisbane ชิงช้าสวรรค์ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของบริสเบน ซึ่งสามารถชม

วิวเมืองได้อีกด้วย หรือหากน้องๆ คนไหนเป็นสายช้อป สามารถมาที่ย่าน Queen Street Mall 

ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ แต่ต้องรีบมานะคะเพราะหกโมงเย็นร้านค้าต่างๆ 

ก็ทยอยปิดกันแล้ว หากใครอยากจะมาชมธรรมชาตินานาพันธุ์หรือเดินเล่นก็สามารถไปที่ 

City Botanic Garden ได้เช่นกันค่ะ 

สำหรับพี่ยาดาแล้วบริสเบนเป็นอีกเมืองที่น่าสนใจในการมาเรียนต่อ เพราะนักเรียนไทยไม่เยอะ

หากเทียบกับซิดนีย์หรือเมลเบิรน์ อีกทั้งค่าครองชีพก็ไม่สูงมากด้วยค่ะ เรียกได้ว่าน้องๆ 

สามารถหาเพื่อนชาวต่างชาติและฝึกภาษาได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ

📣สนใจขอคำปรึกษาด้านการเรียนต่อหรือต้องการทำวีซ่าไปออสเตรเลีย 

ติดต่อได้ที่ 📌อีเดนทุกสาขา หรือทักทายมาที่ Official Line:@edenstudentservice

☎️กรุงเทพ-อยุธยา : 087 693 8998/095 252 5879

☎️เชียงใหม่ : 081 595 9558

☎️อุดรธานี : 099 035 4666

☎️ซิดนีย์ : +61-403689868, +61406418449 , +61431876999

การหาบ้านใน “ซิดนีย์”

ใครมีแพลนจะมาเรียน หรือ ทำงานที่ “ซิดนีย์”แล้วสงสัยว่าจะหาบ้านจากที่ไหนดี? บ้านที่นี่มีกี่แบบ?มาอ่านโพสต์นี้เลยจ้า Eden Student Service สรุปมาให้แล้ว 😀

การเช่าบ้านที่นี่มีหลักๆ 2 แบบค่ะ

1. เราเช่าห้องๆหนึ่งในบ้านหรืออพาร์ทเม้นต์ที่มีคนเช่าอยู่แล้ว

– ข้อดี: หาง่าย และ ค่าเช่าส่วนใหญ่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตแล้ว

– ข้อเสีย/ข้อจำกัด: ไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัว

และ ต้องปรับตัวเพื่ออยู่กับคนอื่นในบ้าน

– หาบ้านได้ที่: http://www.natui.com.au/

http://www.sydneythai.info/

หรือ Facebook group ชื่อ บ้านคนไทยในซิดนีย์,

Sydney rent a room/house/apartment/flat/accommodation,

Shared flat, rooms, sublet, accommodation Sydney

2. เราเช่าบ้านทั้งหลังหรืออพาร์ทเม้นต์ทั้งยูนิต จากเจ้าของ

– ข้อดี: ถ้าเช่าและแชร์ค่าบ้านกับเพื่อน/คนรู้จัก ค่าบ้านจะถูกกว่า

การเช่าแบบแรก ได้ความเป็นส่วนตัวและความสบายใจมากกว่าด้วย

– ข้อเสีย/ข้อจำกัด: ขั้นตอนในการหาบ้าน และ ยื่นเอกสารเช่าบ้าน

ยากกว่าแบบแรก ต้องจ่ายค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตแยก และบางครั้ง

ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านเอง

– หาบ้านได้ที่: https://www.domain.com.au/

https://flatmates.com.au/

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

– ค่าเช่าที่ซิดนีย์จ่ายเป็นรายสัปดาห์ / รายปักษ์ ( 2 สัปดาห์ / ครั้ง )

– ค่าเช่า ถูกหรือแพง ขึ้นกับหลายๆปัจจัย เช่น ขนาดของห้อง

จำนวนคนที่แชร์ห้องกับเรา ทำเลที่ตั้งของบ้านหรืออพาร์ทเม้นต์

– ควรไปดูสถานที่จริงๆ และ ดูหลายๆที่ก่อนจะตัดสินใจเช่าบ้าน

ไม่อยากพลาดสาระดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด like และติดตาม

เพจ Eden Student Service นะค้า ขอบคุณค่ะ

10 กิจกรรม ทำได้ฟรีๆ ใน “เมลเบิร์น”

คราวก่อนเรารวม 10 กิจกรรมที่ทำได้ฟรีๆในซิดนีย์ไปแล้ววันนี้เราขนมาให้อีก 10 กิจกรรม แต่เป็นใน “เมลเบิร์น” ค่ะทั้งหมดนี้ทำได้ฟรี ไม่เสียตังค์เลย ใครที่อยู่ / มีแพลนจะมาเรียน / ทำงานที่เมลเบิร์น อย่าลืมไปตามเก็บกันให้ครบล่ะ!

1. นั่ง tram / รถราง สำรวจ Melbourne CBD

2. ถ่ายรูปมุม iconic ที่ State Library of Victoria ห้องสมุดประจำรัฐวิคตอเรีย

3. โพสต์ท่ากับสตรีทอาร์ตสุดคูลที่ Hoiser Lane

4. เดินดูบรรยากาศช่วงเย็น – ค่ำ ที่ริมแม่น้ำ Yarra

5. แวะชม Block Arcade ห้างเก่าแก่ อายุเกิน 100 ปี

6. เช็คอินที่ Brighton Bathing Boxes บ้านสีๆริมชายหาด

7. ดูพระอาทิตย์ตก กับ ตามหาแพนกวินที่หาด St.Kilda

8. เดินดูของกิน ของใช้ ของฝาก ฯลฯ ที่ Queen Victoria Market

9. เสพงานศิลปะกันให้จุใจที่ National Gallery of Victoria

10. ไปดูทะเลสาบสีชมพูให้เห็นกับตาที่ Salt Water Lake

เมลเบิร์นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมน่าสนใจอีกเยอะเลย ถ้าชอบบทความแบบนี้บอกได้ค่ะเราจะรวมมาให้อีก ฝากกด like เพจ Eden Student Service ด้วยน้า ขอบคุณค่า :- D

Resume สุดปัง!📄 สำหรับสายงาน Hospitality Industry

🦘🌾🇦🇺น้องๆ ที่มาเรียนที่ออสเตรเลียหลายๆ คนอยากจะหางานทำระหว่างเรียนเพื่อลดค่าใช้จ่ายหลายคนเริ่มต้นจากการทำงานในร้านอาหาร คาเฟ่ซึ่งเรซูเม่ในการสมัครงานในร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ นั้นก็จะมีรูปแบบไม่เหมือนกับการสมัครงานในประเทศไทยพี่ยาดาจะมาแนะนำรูปแบบของเรซูเม่สำหรับการสมัครงานHospitality กันค่ะ

งาน Hospitality เช่น พนักงานเสริฟ์ในร้านอาหาร บาริสต้า ☕️☕️เรียกได้ว่าเป็นอาชีพยอดฮิตของนักเรียนไทยหลายๆคนที่มาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะนอกจากวันเวลาทำงานจะยืดหยุ่นกับเวลาเรียนแล้วยังสามารถฝึกภาษาอังกฤษในการพูดคุยกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นต่างชาติต่างภาษาได้อีกด้วย 🤩🤩

📑📑รูปแบบของเรซูเม่ในการสมัครงาน Hospitality นั้นหน้าตาขอให้เน้นความเรียบง่าย เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก เรซูเม่ควรมีเพียง 1 หน้ากระดาษก็พอค่ะภาพรวมของเรซูเม่ไม่ควรใส่สีเยอะ เน้นโทนขาวดำถ้าอยากเพิ่มสีสันควรเลือกมาสีเดียว เน้นสีเป็นทางการไม่ฉูดฉาด เช่น สีเทา สีน้ำเงิน สีแดงเลือดหมูซึ่งหน้าตาของเรซูเม่ควรมีหัวข้อหลักๆ ดังนี้

📋📋Headline เป็นส่วนแรกสุดของเรซูเม่ส่วนนี้คือชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล์ ส่วนสูง”น้ำหนัก อายุ รูปถ่ายไม่ต้องใส่เลยค่ะ”ส่วนนี้เป็นข้อมูลหลักที่เจ้านายจะใช้ในการติดต่อเรานอกจากนี้คาเฟ่บางที่ยังหาคนที่อยู่ใน Suburbที่ใกล้เคียงกับร้านเพราะส่วนใหญ่ร้านคาเฟ่จะเปิดแต่เช้าและพนักงานต้องเริ่มงานตั้งแต่หกโมงเช้าค่ะซึ่งบางเมืองรถโดยสารประจำทางยังไม่เปิดให้บริการในตอนเช้าตรู่ทำให้นายจ้างบางรายต้องการคนที่มีรถส่วนบุคคลหรือคนที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยรถโดยสารประจำทางค่ะ

👨‍🍳👩‍🍳Skills คือหัวข้อถัดมา ส่วนนี้มีความสำคัญเพราะจะบ่งบอกทักษะที่เรามีและเกี่ยวข้องกับงานที่สมัครค่ะตัวอย่าง skills ที่ควรมีสำหรับการสมัครงาน Hospitalityเช่น Customer Service, Excellent communication skills,Ability to do multitask เป็นต้น หากสมัครงานเป็นบาริสต้าสามารถใส่ Barista skills ได้ค่ะ

👨‍💻👩‍💻Work Experience อาจะเป็นส่วนที่หลายคนอาจสงสัยเพราะน้องๆ หลายคนอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่มาก่อนเลยสามารถใส่กิจกรรมที่เคยทำสมัครเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราจะสมัครได้ค่ะตัวอย่างเช่น เคยร่วมงานเปิดบูธขายของในงานเปิดท้ายขายของของมหาวิทยาลัย (มีความเกี่ยวข้องกับSale experience และ Customer Service)เคยอยู่ชมรมสิ่งพิมพ์ของมหาวิทยาลัย สัมภาษณ์นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วนำมาเขียนบทความ(เกี่ยวข้องกับ Communication skills) เป็นต้นหรือหากใครมีประสบการณ์ทำงานมาแล้วก็ใส่ได้แต่เขียนให้เข้ากับงานที่จะสมัครค่ะตัวอย่างเช่นเคยทำงานที่ประเทศไทยเป็น Marketer มาก่อนก็เขียนในแนวว่าได้มีการไปพบปะลูกค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีให้ลูกค้ามีทัศนคติเชิงบวกกับสินค้าและบริการของบริษัท เป็นต้น ประวัติงานที่นำมาใส่ควรมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราสมัครนะคะไม่จำเป็นต้องใส่ทุกงานที่เราเคยทำมาค่ะ

📝📝Education คือส่วนสุดท้ายที่อาจจะไม่ได้สำคัญมากแต่ก็ควรใส่ไปค่ะ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้นายจ้างในการพิจารณาแต่ส่วนนี้ก็ไม่ได้มีส่วนสำคัญในการพิจารณามากนักสิ่งสำคัญในการที่จะได้งาน Hospitality คือบุคลิกภาพและการสื่อสารของเรามากกว่า (ถ้าสมัครงานบาริสต้าแน่นอนว่าต้องมีประสบกาณ์มาก่อนค่ะ) โดยส่วนใหญ่งานพวกนี้นายจ้างจะพิจารณาจากการสัมภาษณ์เราค่ะเพราะเป็นงานที่เน้น Service mind นายจ้างจะดูว่าเราสื่อสารรู้เรื่องมั้ย ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือเปล่าตอบคำถามได้มั้ย เพราะการทำงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรวมถึง Customer Serviceบางทีที่ลูกค้ารอนานแล้วอารมณ์เสียใส่เราจะสามารถรับมือได้หรือไม่ เป็นอีกสิ่งสำคัญที่นายจ้างพิจารณาค่ะ

🏢🏢แหล่งในการหางานในร้านอาหารหลักๆ ก็คือ Walk inหย่อนใบสมัครกับสมัครออนไลน์ในเว็บไซต์ Gumtreeหากน้องๆ จะ Walk in ไปหย่อนใบสมัครก็ให้แน่ใจว่าแต่งกายสุภาพแบบ Smart casual หรือหากสมัครออนไลน์ก็ให้แน่ใจว่าเราพร้อมที่จะตอบคำถามหากนายจ้างโทรมาสัมภาษณ์งานนะคะ เพราะหากเราทำเรซูเม่มาดีแค่ไหนแต่ตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ไม่ดีงานนี้ก็อาจกินแห้วได้เหมือนกันพี่ยาดาเชื่อว่างานนี้คงไม่ยากเกินความสามารถของน้องๆแน่นอนค่ะ อยากลืมนะคะว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังจะสมัครงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่อยู่สามารถเอาคำแนะนำของพี่ยาดาไปปรับใช้ได้งานนี้ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ❤️❤️❤️❤️❤️

6 สาขาวิชาชีพ ใหม่ ๆ ที่สามารถ ขอวีซ่า PR (Permanant Resident) ในประเทศออสเตรเลีย

คำถามยอดฮิต อยากมาเรียนออสเตรเลีย แต่อยากได้สาขา ที่ สามารถ ทำให้ ได้การเป็นพลเมืองถาวร มาดูกัน

Register Nurse

หลักสูตรนี้ก็ตามชื่อเลย คือเรียนเพื่อมาเป็นพยาบาล หรือ ดูแลผู้ป่วยตามสถานที่ต่าง ๆ เรียน 1-4 ปี (แล้วแต่ ประสบการณ์) และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 7 Academic Overall

Telecommunications Network Engineering

หลักสูตรนี้จะเรียนเกี่ยวกับการส่งสัญญาณ ต่าง ๆ ด้านการโทรคมานาคม หรือ ระบบอินเตอร์เน็ต เรียน 2 ปี และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 5.5

Chef

หลักสูตรการทำอาหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้อร่อยอย่างเดียวนะ เพราะเค้าจะเรียนไปถึงขั้นการเตรียมอาหาร อนามัยต่าง ๆ เรียน 2 ปี และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 5.5

Wall and Floor Tiling

หลักสูตรช่างฝีมือปูกระเบื้อง อย่าคิดว่าใคร ๆ ก็ปูได้เชียวนะ เพราะที่ออสฯ ใครจะเป็นช่างได้ต้องมีใบรับรองเท่านั้น และต้องเรียนเกี่ยวกับความปลอดภัย การใช้สารเคมีต่าง ๆ เรียน 2 ปี และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 5.5

Property valuation

หลักสูตรนี้อาจจะดูไกลตัวนิดนึง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพราะน้อง ๆ จะมีอาชีพเป็นนักประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ เรียน 3 ปี และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.5 Academic

Locksmith

ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยว่าช่างทำกุญแจก็สามารถยื่น PR ได้ แต่นี่คือเรื่องจริง เพราะอย่างที่บอกว่าที่ออสฯจะเป็นช่างได้ต้องมีใบอนุญาตเท่านั้นนะ เรียน 2 ปี และต้องมีคะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 5.5

🏥“ประกันสุขภาพสำคัญไฉน”🏥👩‍⚕️👨‍⚕️

ประกันสุขภาพ💊💉สำหรับนักเรียนต่างชาติในออสเตรเลีย เรียกว่า Overseas Student Health Cover (OHSC) เป็นหนึ่งใน requirements สำหรับการขอวีซ่านักเรียนออสเตรเลียน้องๆ ที่จะมาเรียนที่ออสเตรเลียทุกคนจะต้องมีประกันสุขภาพครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ออสเตรเลีย หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราจะต้องมีประกันสุขภาพด้วย…มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? 
วันนี้พี่ยาดาจะมาไขข้อข้องใจของน้องๆกันค่ะ🧐🤓

🚑ประกันสุขภาพสำหรับนักเรียนต่างชาติที่มาเรียนที่ออสเตรเลีย หรือ Overseas Student Health Cover (OSHC) เป็นข้อกำหนดในการยื่นขอวีซ่านักเรียน ซึ่งน้องๆ ที่อยากจะมาเรียนที่ออสเตรเลียทุกคนจะต้องมีประกันสุขภาพครอบคลุมตลอดระยะเวลา ที่อาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย ประกันสุขภาพนั้นก็มีหลากหลายบริษัท ให้เลือก เช่น Bupa, Allianz, Medibank, Nib, AHM เป็นต้น 

💵💳💰ค่ารักษาพยาบาลในออสเตรเลียนั้นมีราคาสูงมากสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีบัตรเมดิแคร์ ดังนั้นประกันสุขภาพนอกจากจะใช้เป็นหนึ่งในข้อกำหนดในการขอวีซ่านักเรียนแล้วยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเคลมค่ารักษาพยาบาลคืนอีกด้วยค่ะ

เมื่อน้องๆ มาถึงออสเตรเลียและได้บัตรประกันสุขภาพจากเอเจนซีแล้ว เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลหรือ Medical Center ได้เลยนะคะหากเป็นการเจ็บป่วยที่ไม่ซีเรียส น้องๆจะต้องเข้าไปทำการจองคิวพบแพทย์กับ Medical Center ใดก็ได้ที่น้องๆ สะดวกก่อนแล้วจึงไปพบแพทย์ตามนัดค่ะเมื่อแพทย์ทำการตรวจอาการและออกใบจ่ายยาน้องๆ ก็ต้องเอาใบจ่ายยานี้ไปให้เภสัชกรที่ร้านขายยาจ่ายยาอีกทีหนึ่ง จะไม่เหมือนประเทศไทยที่แพทย์สามารถทำการจ่ายยาให้น้องๆ ได้เลยค่ะกรณีนี้น้องๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายสองส่วนคือค่าพบแพทย์ที่ Medical Center และค่ายา👩‍⚕️👨‍⚕️

การเคลมค่าพบแพทย์นั้นน้องๆ สามารถเคลมคืนได้ทันที75-85 เปอร์เซ็นต์ สำหรับบริษัทประกันสุขภาพทั่วไปแต่หากน้องๆ ซื้อประกันสุขภาพกับBupa และเข้าพบแพทย์ใน Medical Centerที่มีสัญลักษณ์ของ Bupa สามารถเคลมค่าพบแพทย์ได้ทั้งหมดค่ะ ส่วนค่ายานั้นน้องๆ จะต้องออกค่าใช้จ่ายเองนะคะแต่หากมีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงจนต้องแอดมินที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะซื้อประกันกับบริษัทไหนก็สามารถเคลมค่าใช้จ่ายคืนได้ทั้งหมดค่ะ💵💉

นอกจากนี้สำหรับน้องๆ ที่อยู่ออสเตรเลียมาเกิน 1 ปีด้วยวีซ่านักเรียนแล้วตั้งครรภ์ 🤱 อยากจะคลอดลูกที่นี่สามารถเคลมค่าคลอดบุตรได้เช่นกันนะคะ รายละเอียดสำหรับประกันสุขภาพของแต่ละบริษัทนั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ขั้นตอนการเข้าพบแพทย์ไปจนถึงการซื้อยาก็แตกต่างจากประเทศไทยแต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะเพราะน้องๆ สามารถสอบถามรายละเอียดประกันสุขภาพของแต่ละบริษัท ตลอดจนขั้นตอนการขอนัดพบแพทย์ได้ที่พี่ๆ Edenทุกคนเลยนะคะ

เรียนต่อพยาบาล อีกช่องทางของการขอ PR ที่ออสเตรเลีย

วันนี้ พี่ยาดา อยากมาคุยเรื่อง ช่อง ทางการย้ายถิ่นฐานมาเรียนพยาบาลที่ ออสเตรเลีย กัน วิชาชีพที่ยอดนิยมอีกสาขาหนึ่ง คือ พยาบาล (Enrolled Nurse) ซึ่งเส้นทางที่ จะเรียนต่อ และ สมัคร เป็น PR ด้วยสาขานี้ มี ได้ หลายวิธี 

1. Diploma of nursing และต่อไปยัง Bachelor Degree (โดยตลอดทั้ง 2 หลักสูตรรวมกันนี้ใช้เวลารวมกันทั้งหมด 4 ปี)

การเรียนแบบนี้จะใช้เวลาในการเรียน Diploma เป็นเวลา 2 ปี และหลังจบแล้วสามารถไปเริ่มปีที่ 2 ของหลักสูตร Bachelor Degree แล้วเรียนต่อจนจบโดยใช้เวลาอีก 2 ปี รวมระยะเวลาทั้งหมดจากการเริ่มเรียนตั้งแต่ Diploma จนจบ Bachelor Degree นั้นรวมเป็นระยะเวลา 4 ปี 

ข้อกำหนดภาษาอังกฤษในการเข้าเรียนระดับ Diploma นั้นเท่ากับ Bachelor และ Master Degree 

✅ ผลภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเข้าในระดับ Diploma จะอยู่ที่ 7.0 โดยในแต่ละพาร์ทต้องมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 7 สำหรับผลสอบ IELTS นะคะ

เส้นทางนี้ อาจใช้เวลานาน ถึง 4 ปี ในการเรียน แต่ ข้อดี ของ สำหรับผู้ที่เริ่มเรียนในระดับ Diploma มีสิทธิ์ที่จะได้ทำงานและได้เงินเดือนก่อนใคร เพราะเมื่อเรียนจบเทอมแรกในหลักสูตร Diploma of Nursing แล้วนั้น สามารถไปทำงานเป็น Assistant in Nursing (AIN) ( ผู้ช่วยพยาบาล ) และหลังจบจากหลักสูตร Diploma ยังสามารถทำงานเป็น Enrolled Nurse ได้เลยอีกด้วย ทำให้เมื่อเรียนจนจบ ป.ตรีนั้น ก็จะมีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นและพร้อมสำหรับการไปทำงานเป็น Registered Nurse อย่างเต็มตัว

2. Bachelor of Nursing (3ปี)

เริ่มเรียนในระดับปริญญาตรี 

✅ใช้ผลภาษาอังกฤษ IELTS อยู่ที่ 7.0 และแต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 7 การเรียน Bachelor of Nursing นั้นจะใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี และหลังจากเรียนจบเทอมเเรกนั้น นักเรียนจะสามารถสมัครไปเป็น AIN หรือผู้ช่วยพยาบาลได้ แต่ในระหว่างที่เรียนอยู่จะไม่สามารถทำงานเป็น Enrolled Nurse ได้

3. Bachelor of Nursing – GEP (2ปี)

หลักสูตรนี้เหมาะกับผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว ไม่ว่าจะสาขาใดก็ได้ สามารถมาเรียนต่อในระดับ Bachelor อีก 2 ปี หลังจากจบเทอมแรกสามารถไปทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลได้เช่นกัน ใช้ผลภาษา เหมือนกัน กับ ตัว Bachelor Degree 

4. Master of Nursing (2ปี)

สำหรับผู้ที่อยากเรียนต่อในระดับปริญญาโท

✅จะต้องมีผลคะแนน IELTS อยู่ที่ 7.0 โดยในแต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 7 ผู้ที่เรียนต่อในหลักสูตรปริญญาโทไม่จำเป็นต้องเรียนในหลักสูตรที่เกี่ยวกับ Nursing มาก่อนก็ได้

ราคา เรียน ของ แต่ละ โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย ไม่เท่ากัน น้อง คนไหนสนใจ สามารถทักทายมาได้ที่ พี่พี่อีเดนนะคะ Line. : @edenstudentservice